“มือชา” และ “นิ้วชา” คืออาการที่เกิดจากการหดตัวของเส้นเลือดที่มีขนาดเล็ก (เส้นเลือดฝอย) ทำให้การไหลเวียนของเลือดลดลง หรือหยุดชั่วคราว จนทำให้มือหรือนิ้วมีอาการชาหรือตายเย็น โดยเฉพาะในสภาวะที่อากาศหนาว หรือในสถานการณ์ที่เกิดความเครียด
- โรคคาร์พัล ทันเนล ซินโดรม (Carpal tunnel syndrome) เกิดจากการกดทับเส้นประสาทมีเดียนบริเวณข้อมือ ทำให้มีอาการชา อ่อนแรง และเสียการรับรู้บริเวณฝ่ามือและนิ้วโป้ง
- โรคเบาหวาน ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานอาจทำให้เส้นประสาทเสียหาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการชา อ่อนแรง และเสียการรับรู้บริเวณปลายมือและเท้า
- โรคเกาต์ โรคข้ออักเสบที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกาย ส่งผลให้เกิดการอักเสบของข้อ และอาจทำให้มีอาการชา ปวด และบวมบริเวณมือและนิ้วมือ
- โรคปลอกประสาทอักเสบเฉียบพลัน (Guillain-Barré syndrome) เป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ประสาท ทำให้มีอาการชา อ่อนแรง และอาจถึงขั้นอัมพาต
- โรคเส้นเลือดสมองตีบหรืออุดตัน ภาวะที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการชาครึ่งซีก หรือชาบริเวณใบหน้า แขนและขา
- โรคเรนอด (Raynaud’s disease): เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการชา ตายเย็น และเปลี่ยนสีของนิ้วมือ นิ้วเท้า เมื่อต้องเผชิญกับสภาวะที่เย็นชื้น หรือเครียด
- โรคอัตเซ็น รูปภาพ (Systemic lupus erythematosus, SLE): เป็นโรคภูมิแพ้ที่ทำลายเนื้อเยื่อของตนเอง
- โรคที่เกี่ยวกับการอักเสบของเส้นเลือด ซึ่งเกิดการอักเสบของเส้นเลือด
- โรคที่ก่อให้เกิดการข้ออักเสบ เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม
- โรคข้อต่อเนื้อเยื่อเส้นเลือด (Connective tissue diseases): เช่น โรคติดตามเนื้อเยื่อเข้ารุ่น (scleroderma)
- การใช้ยาบางประเภท: เช่น ยาควบคุมการเต้นของหัวใจ, ยาควบคุมความดันโลหิต, ยาปฏิชีวนะ, ยาควบคุมฮอร์โมน, ยาต้านมะเร็ง
- โรคอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการมือชา หรือ นิ้วชา เช่น โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ, โรคประสาทอักเสบเฉียบพลัน, โรคไขมันในเลือดสูง, โรคเบาหวาน
หากมีอาการมือชา นิ้วชา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
นอกจากโรคต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว อาการมือชา นิ้วชา ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่รุนแรง เช่น การนอนทับมือ การบาดเจ็บบริเวณมือ หรือการใช้มือในท่าเดิมเป็นเวลานาน เป็นต้น
วิธีป้องกันอาการมือชา นิ้วชา ได้แก่
- หลีกเลี่ยงการนอนทับมือ
- หลีกเลี่ยงการใช้มือในท่าเดิมเป็นเวลานาน
- ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อบริเวณมือและข้อมือ
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคเกาต์
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วน
- พักผ่อนให้เพียงพอ
หากมีอาการมือชา นิ้วชา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสม